ก.ล.ต.สอบเอาผิด STARK ประสาน ดีเอสไอ-บก.ปอศ.-ปปง. ยังเปิดเผยรายละเอียดไม่ได้ คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
STARK ร้อง “ดีเอสไอ” หาตัวการทุจริตมาลงโทษ ติดตามทรัพย์สินกลับคืนมา
STARK ระทึก เจ้าหนี้หุ้นกู้อีก 3 ชุด นัดประชุมลงมติเรียกชำระเงิน 6,957 ล้านบาท
นายจตุภัทร์ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA กล่าวว่าทิศทางในการดำเนินธุรกิจของ TOA ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจปัจจุบันให้มีความแข็งแกร่งและสามารถเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งการบุกตลาดสินค้ากระเบื้องเซรามิกและฮาร์ดแวร์ที่ TOA เพิ่งเข้าลงทุนยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากอย่างไรก็ตามปัจจุบัน TOA ไม่มีแผนการเข้าลงทุนธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มสีและวัสดุก่อสร้าง
โดยในปีที่ผ่านมา TOA มียอดขายเติบโตทะลุ 20,000 ล้านบาท และรายได้ในไตรมาส 1 ปี 66 สร้างนิวไฮใหม่ที่ 5,654 ล้านบาท พร้อมกับแนวโน้มรายได้และกำไรที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในปี 2566 จากอานิสงส์เชิงบวกของปริมาณความต้องการใช้สีและวัสดุก่อสร้างจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ และต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวลดลง
สำหรับ TOA เป็นหนึ่งในธุรกิจหลักตระกูล “ตั้งคารวคุณ” โดยมีหัวเรือใหญ่ นายประจักษ์ ตั้งคารวคุณ และปัจจุบันได้ให้ลูกชาย คือ นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ เข้ามาบริหารในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ส่วนลูกชายกับลูกสาวอีก 3 คน ให้ดำรงตำแหน่งกรรมการ คือ นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ นายณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ และนาง บุศทรี หวั่งหลี
แต่ปัจจุบัน นายวนรัชต์ ได้ลาออกทุกตำแหน่งใน TOA แล้ว ภายหลัง บมจ.สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น หรือ STARK ที่เจ้าตัวถือหุ้นใหญ่สุด ได้เกิดปัญหาภายในบริษัทขึ้น ทำให้ไม่สามารถเปิดเผยผลประกอบการได้ จนนำไปสู่กระบวนการตรวจสอบธุรกรรมที่เข้าข่ายทุจริตเชิงลึก และได้มีการร้องทุกข์กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดดำเนินคดีตามกฎหมาย
นอกจากนี้STARK ยังประสบปัญหาด้านสภาพคล่องทางการเงินไม่สามารถชำระหนี้ได้ทันตามกำหนดเวลาจนทำให้เจ้าหนี้หุ้นกู้ 2 ชุด เรียกคืนเงินต้นทุนทีกว่า 2.2 พันล้านบาท และยังทำให้เกิดเหตุผิดนัดไข้กับหุ้นกู้อีก 3 ชุด มูลค่าราว 6.9 พันล้านบาท รวมถึงไปยังถูกบริษัทเอกชนในเยอรมนีLEONI ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายกว่า 2 หมื่นล้านบาท กรณียกเลิกสัญญาซื้อขายหุ้นกลางคัน
ล่าสุดหุ้น TOA ปิดตลาดภาคเช้าวันนี้ (16 มิ.ย.66) ราคาอยู่ที่ 30.75 บาทต่อหุ้น ปรับลดลง -7.52% จากเมื่อเดือน พ.ค. 66 ที่ผ่านมา