รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก วิเคราะห์เกมการเสนอผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งปรากฏชื่อ "นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา" ว่า โดยหลักการบทสรุปไม่ควรเป็นแบบนี้ พรรคอันดับหนึ่งควรได้ ซึ่งเป็นการสะท้อนถึงการยอมถอยของพรรคก้าวไกล ให้แก่พรรคเพื่อไทย เพื่อประคับประคองให้เสถียรภาพการจัดตั้งรัฐบาลเดินหน้าต่อไปได้
เปิดบัญชีทรัพย์สิน "พิธา ลิ้มเจริญรัตน์" อู้ฟู่ 85 ล้าน หนี้ 20 ล้าน
อ่านคณิตศาสตร์การเมือง ผ่านเสียงโหวตรองประธานสภาฯ
หากดูท่าทีของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ที่ผ่านมาก็ล้วนแสดงออกถึงการยึดหลักการเสียงของประชาชน มุ่งไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างผลพวงของเผด็จการ
ภาพ : รศ.ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง ม.เกริก
ประกอบกับที่เป็นหนี้ในตัวแทนจาก 8 พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล จึงถือว่า เงื่อนไขนี้ยอมรับได้ในระดับหนึ่ง เพราะเชื่อว่าการต่อรองของ ก้าวไกล กับ เพื่อไทย ต้องมีการระบุเงื่อนไขการผลักดันกฎหมายบางอย่าง เช่น การปฎิรูปกองทัพ
จับตาเก้าอี้นายกฯ ต้อง “ก้าวไกล” หรือเป็นแค่ “ยักษ์ไร้กระบอง”
แต่หลังจากนี้ ที่ต้องติดตามดูกันต่อ คือ การเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างถึงที่สุด ต้องย้ำว่า "ผลักดันจนถึงที่สุด" ควรจะเป็นของพรรคก้าวไกลเท่านั้น เพราะตำแหน่งสำคัญทั้งประธานสภาฯ และนายกรัฐมนตรี เดิมทีควรเป็นของพรรคที่ได้เสียงประชาชนอันดับหนึ่งอยู่แล้ว หากจะเสียทั้ง 2 ตำแหน่งก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลมากๆ
พรรคร่วมจะต้องไม่เกิดการหักเหลี่ยมโหด มีสมการใหม่ๆ ดึงใครเข้ามาเป็นคู่แข่งขัน ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะก้าวไกลก็มีโอกาสไม่ได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แล้วจะกลายเป็น "ยักษ์ที่ไร้กระบอง" ชนะเลือกตั้งแต่ไร้ตำแหน่งสำคัญ
“เพื่อไทย” อาจฆ่าตัวเอง หากเล่นเกมเจรจาสลับขั้วสู่อำนาจ
แม้การสละเก้าอี้ประธานสภาฯ นัยชัดเจนว่า ก้าวไกลการยอมถอย เพื่อแลกกับการเดินหน้าต่อของแนวร่วมจัดตั้งรัฐบาลฯ ดูเป็นการสละครั้งใหญ่ของ “พรรคก้าวไกล” แต่ยังมีอุปสรรคที่หลายคนวิเคราะห์ว่า ยังมีตัวละครลับ หรือการเสนอชื่อชิงนายกฯ ไม่ว่าจะเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูลจากขั้วภูมิใจไทย หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพลังประชารัฐ ซึ่งจากกระแสข่าวก็มองว่าพรรคเพื่อไทยมรดีลลับ มีการเจรจากันใต้น้ำตลอด
โดยที่ผ่านมาการสื่อสารของพรรคเพื่อไทย “ล้มเหลว” ไม่มีความเป็นเอกภาพเลย สื่อสารคนละทิศละทาง ในแง่หนึ่งเข้าใจได้ว่าต้องการเล่นเกมต่อรอง คนหนึ่งบอกให้พรรคอันดับหนึ่งเป็นประธาน อีกฝ่ายในพรรคตัวเองบอกไม่ได้ ไม่ให้ พรรคตนเองต้องได้ สุดท้ายจบดีลที่อาจารย์วันนอร์ ล้วนเป็นเกมเจรจาต่อรองไปสู่ตำแหน่งอื่นทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องที่พรรคก้าวไกลกังวล
เนื่องจากตัวพรรคก้าวไกลเองต้องการตำแหน่งนายกรัฐมนตรี สิ่งที่ก้าวไกลทำได้หลังจากโหวตประธานสภาฯ คือ ความชัดเจนของ 8 พรรคร่วม ว่า ต้องไม่มีการสื่อสารที่แปลกประหลาดออกมาอีก ว่าจะย้ายขั้ว สลับข้าง เสนอชื่อคนอื่นที่ไม่ใช่ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”
ดูลึกลงไปเหลือเพียงพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ที่มีเสียงพอจะเปลี่ยนขั้วสลับข้างให้เกิดการพลิกกระดานได้ ซึ่งหากทำเช่นนั้น ผลกระทบจะไม่เป็นผลดีเลยต่อตัวพรรคเพื่อไทยเอง เนื่องจากประชาชนเขาเห็นว่าคนที่กำลังเล่นเกม คือ พรรคเพื่อไทย ภาพลักษณ์เองก็ยิ่งทำให้ตัวเองถูกมองว่าทำทุกอย่างเพื่ออำนาจสูงสุด แล้วนำไปสู่การเสื่อมศรัทธาของประชาชนในท้ายที่สุด
ถอดรหัสดีลเจรจา กระทรวงเกรด A ให้เพื่อไทย เพราะโจทย์ก้าวไกลอาจไม่ต้องการ
ส่วนเบื้องลึกการเจรจาต่อรองแลกเก้าอี้รัฐมนตรี ระหว่างพรรคเพื่อไทย ที่ต้องการกระทรวงเกรด A เหนือกว่าพรรคก้าวไกล อาจซ้ำรอยรัฐบาล “ประชาธิปัตย์” ที่เคยถูก “พรรคภูมิใจไทย” อันดับสองต่อรองเอากระทรวงใหญ่หรือไม่นั้น
ในกรณีนี้ อาจารย์นันทนา มองต่างออกไป ด้วยกระบวนเจรจาจะได้บางส่วนเสียบางส่วนเสมอ ไม่มีใครได้ทั้งหมด เสียทั้งหมด จนต้องเข้าโมเดล “วิน-วิน” โดยเชื่อว่าพรรคก้าวไกล มีจุดหมายที่ชัดว่าต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ ตามที่หาเสียงกับประชาชน คือ “กาก้าวไกล ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม”
หากยึดจุดนี้ให้ชัดหมายถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง เช่น รัฐธรรมนูญ การแก้ไขกฎหมาย 45 ฉบับที่จัดเตรียมไว้หมดแล้ว จึงอาจไม่ต้องการกระทรวงเกรด A ที่ผลประโยชน์มหาศาลแบบที่หลายคนมอง กลับกันจะต้องการ กระทรวงกลาโหม ที่ต้องงัดกับอำนาจทหารที่ไม่มีใครอยากยุ่ง หรือต้องการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อเข้าไปปฎิรูปการศึกษาของประเทศไทย
ขณะที่โจทย์ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่าตนเองถนัดในเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายปากท้อง ย่อมต้องการกระทรวงที่มีผลประโยชน์เยอะๆ เช่น กระทรวงพลังงาน กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม เพื่อไปผลักดันนโยบายปากท้องของเขา แล้วเมื่อใดที่ประชาชนกินดีอยู่ดี เศรษฐกิจดีขึ้น คะแนนเสียงย่อมกลับมาที่พรรคของตนเอง ทำให้การเจรจาต่อรองออกมาได้ในหลายรูปแบบ ไม่ใช่ข้อสรุปว่าพรรคที่ได้กระทรวงเกรด A คือผู้ชนะการต่อรอง
วันมูหะมัดนอร์ มะทาสัมพันธ์ลึก “เพื่อไทย” ที่อย่างไรก็ตัดไม่ขาด
หากดูความสัมพันธ์ของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา กับพรรคเพื่อไทย อาจารย์นันทนา อธิบายเพิ่มว่า ไม่สามารถแยกจากกันได้ เนื่องจากเคยอยู่พรรคเพื่อไทยมาก่อน แล้วค่อยแยกออกมาเป็นพรรคประชาชาติ ช่วงการเลือกตั้งปี 25562 ที่ใช้กลยุทธ์แตกแบงค์พัน เพื่อเอาชนะกติกาบัตรใบเดียว
แม้จะไม่ได้กลับมารวมพรรคกันอีกครั้ง แต่สายสัมพันธ์ก็เป็นที่นับถือกันอย่างลึกซึ่งของคนในเพื่อไทย ความกังวลจึงตกไปอยู่กับพรรคก้าวไกลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเมื่อคนของตนเองไม่ได้นั่งในเก้าอี้ประธานสภาฯ โอกาสในการผลักดันกฎหมายที่อ่อนไหว อาจถูกตีตกไปเหมือนกับสภายุคที่ผ่านมาได้เช่นกัน
ดังนั้ง เชื่อว่าอาจมีการเจรจากันหลังบ้านแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบกับตัวร่างกฎหมายอ่อนไหวหลายฉบับที่พรรคก้าวไกลต้องการจะนำเสนอในการประชุมสภาฯ ให้เกิดการผลักดันได้จริง
ยิ่งย้อนกลับไปช่วงเลือกตั้ง นายวันมูหะมัดนอร์ มะทาเคยพูดว่า การผลักดันกฎหมาย ระเบียบวาระต่างๆ ไม่ใช่ประธานสภาฯ คนเดียว ที่เป็นผู้ผลักดัน ยังถูกเสนอมาได้หลายทางเช่น ส.ส. พิจารณาร่วมกันเสนอ จึงเป็นเหมือนความเชื่อมั่นในตัวบุคคลที่จะสามารถผลักดันให้สภาฯ ขับเคลื่อนต่อไปได้ แต่การจะผ่าน หรือไม่ผ่าน ก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องไปดูกันต่อ ไม่ใช่การบรรจุวาระแล้วผ่านกฎหมายได้เลย
ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างว่าที่ประธานสภาฯ คนใหม่ กับตัวคุณทักษิณ ชินวัตร เชื่อว่าตัว นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ที่เรียกว่าเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของพรรคเพื่อไทย อย่างไรก็ไม่ได้ขาดลงในทันที แต่ความสัมพันธ์อันนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งใด หรือการกระทำใดที่ไม่เป็นไปตามฉันทามติของประชาชนหรือไม่ ตัวบุคคลเองด้วยความอาวุโส ความเคารพนับถือของสังคม จึงไม่น่าจะมีอะไรผิดแปลกไปจากฉันทามติของประชาชน 25 ล้านเสียงที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงไปได้
เกมเพื่อไทย สลัดก้าวไกล “ความสัมพันธ์ ทั้งรัก-ทั้งเกลียด”
ภาพในอนาคตที่สะท้อนออกมาให้เกิดการตีความได้ว่า ณ วันหนึ่งพรรคเพื่อไทย สลัดทิ้งพรรคก้าวไกล อย่างแน่นอนแต่จะลงด้วยวิธีไหนอย่างไรนั้น อ.นันทนา เล่าว่า ความสัมพันธ์ของพรรคเพื่อไทยที่มีต่อก้าวไกล ชัดเจนมากว่าอยู่ในสถานะ Love Hate Relation ทั้งรัก ทั้งเกลียด เหมือนที่ นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เคยพูดความในใจว่า
อยากจะออก เราก็ออกไม่ได้ เพราะประชาชนมัดเราเอาไว้ ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ค่อนข้างล้มเหลวอีกครั้ง เรียกว่า ยังไม่แต่งงาน ก็ปันใจมีกิ๊กเสียแล้ว
พรรคเพื่อไทยเองไม่ค่อยพอใจพรรคก้าวไกล ลึกๆ ความรู้สึก 22 ปี ที่พรรคตนเองชนะการเลือกตั้งมาตลอด แต่วันหนึ่งมีพรรคใหม่จากไหนไม่รู้มาชนะตนเอง ยิ่งดูอายุเฉลี่ยสองพรรคนี้แม้คะแนนจะไม่ห่างกันมาก แต่อายุเฉลี่ยของคนในพรรคห่างกันมากๆ แล้วความรู้สึกของบรรดานักการเมืองอาวุโสที่ครองอำนาจมานาน จะปล่อยให้คนอายุน้อยกว่าขึ้นมาเป็นแกนนำขับเคลื่อนก็คงไม่สบายใจนัก
อย่างไรก็ตาม ผลการเลือกตั้งครั้งนี้ “พลิกแผ่นดิน” แล้วพลิกแบบข้ามขั้วมาด้วย หลายคนเคยเป็นอนุรักษ์นิยม ข้ามมาเป็นเสรีนิยมในครานี้ จึงสะท้อนจริงๆ ว่าเขาต้องการความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรง เขาเชื่อมั่นในคนรุ่นใหม่ แม้จะเป็นความขมขื่น หวานอมขมกลืนก็ต้องประคับประคองกันต่อไปให้ได้ ด้วยแรงคาดหวังของประชาชนกับทั้งสองพรรคคำพูดจาก ปั่นสล็อตแตกทุกเกม
หากเพื่อไทย สลับขั้วเตรียม “สูญพันธุ์” หรือ “แมลงสาบ 2”
มองฉากทัศน์ในอนาคตวันหนึ่งหากเกิดดีลแปลกประหลาดอะไรขึ้น เช่น พรรคเพื่อไทย สลัดมือพรรคก้าวไกลออก แล้วไปจับมือกับขั้วอื่น มั่นใจได้เลยว่าความอันตรายจะเกิดขึ้นกับพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นสิ่งที่อธิบายกับประชาชนได้ยาก วันนี้เราเห็นท่าที่ของพรรคก้าวไกล แล้วว่าเขายอมถอยที่แรงมากๆ ทั้งที่เคยประกาศตัวผู้ดำรงตำแหน่งประธานสภามาแล้ว เอกสิทธิ์ก็เป็นของก้าวไกลอยู่แล้ว วันนี้จึงพูดได้ว่าเขายอมถอยจนสุด กลับกันหากเพื่อไทยจะยังเล่นเกมอำนาจ ชิงจัดตั้งรัฐบาลกับขั้วอนุรักษ์ หรือฝ่ายสืบทอดอำนาจเดิม จะมีภาพที่ไม่สวยแน่นอนเพราะความคาดหวังของประชาชนรุนแรงมากๆ
ความรุนแรงนี้ เห็นได้ชัดเจนเพียงแค่เมื่อใดที่มีข่าวคราว ท่าทีจะสลัดมือพรรคก้าวไกลออกเมื่อใด ทัวร์พร้อมลงทันที คอมเมนต์ที่เป็นเสียงของแฟนคลับพร้อมเตือนว่า เพื่อไทยไม่ควรทำแบบนี้ แล้วหากยังฝืนเสียงของประชาชน กระทำสิ่งที่ไม่ควรอย่างการไปเสนอชื่อคนอื่น ไม่ใช่คุณพิธา อันนี้ ต้องยอมรับผลที่ตามมาจากเสียงของประชาชน แล้วอีก 4 ปีข้างหน้าก็จะได้เห็นว่าประชาชนเขาคิดอย่างไรกับดีลที่เกิดขึ้น
ไพ่ใบสุดท้าย “ก้าวไกล” เป็นฝ่ายค้าน พิสูจน์ผลงานรอวัน “แลนด์สไลด์เป็นสีส้ม”
ฟากฝั่งของพรรคก้าวไกล ที่ยอมถอยตำแหน่งประธานสภา แม้จะเรียกว่าเป็นประธานสภาคนกลาง ก็เรียกได้ไม่สนิทใจนัก แม้โซเชียลหรือแฟนคลับจะไม่ค่อยมีความสุขนัก ก็ยังยอมรับได้ แต่เมื่อใดที่ข้อเรียกร้องมันมากเกินไป แล้วตัดสินใจไปเป็นฝ่ายค้าน ย้อนกลับไปดูว่า 4 ปีที่ผ่านมาเขาทำได้เข้าตาประชาชนมาก ทั้งการตรวจสอบรัฐบาล อุดมการณ์ต่างๆ แล้วรออีก 4 ปี ระหว่างนี้ก็สั่งสมประสบการณ์ ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มมข้น เพื่อรอวันสุกงอมของทุกสิ่ง เชื่อว่าประชาชนเขาเห็นอยู่แล้วว่า หากเลือกแล้ว ส.ส.ไม่เกิน 250 คนไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ตามความคาดหวัง คราวหน้าอาจเห็นการแลนด์สไลด์เป็นสีส้มทั้งแผ่นดินได้เช่นกัน
ด้านพรรคเพื่อไทยเอง อาจมองสวนทางว่า หากเขาทิ้งก้าวไกลวันนี้ แล้วไปเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลเอง พัฒนาเศรษฐกิจให้กินดีอยู่ดี ประชาชนชอบใจ ลืมเรื่องราวต่างๆ แล้วกลับมาเลือกเพื่อไทยอีกครั้ง หรือไม่ก็อาจเป็นผลทางตรงกันข้าม ประชาชนอาจกัดฟันเก็บความรู้สึกไว้แล้วนำไปลงกับบัตรเลือกตั้งครั้งหน้าก็มีความเป็นไปได้
นายกฯ ต้องชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เท่านั้น
ด่านต่อไปหลังจากสู่ศึกประธานสภาจบลง ประตูบานใหญ่ที่พรรคก้าวไกลกับแนวร่วม 8 พรรคจัดตั้งรัฐบาลต้องเจอ คือ นาทีนี้ต้องยึดหลักการเพื่อต่อสู้กับรัฐธรรมนูญที่ผิดเพี้ยน ให้คนถูกแต่งตั้งมาร่วมลงคะแนนโหวตนายก ร่วมกับเสียงของประชาชนทั้งประเทศ อาจารย์นันทนา ยืนยันว่า เราต้องมีนายกรัฐมนตรี ชื่อ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” เท่านั้น
8 พรรคจะต้องร่วมกันผลักดันจนถึงที่สุด อย่างน้อยต่างชาติที่เขามองอยู่ และอยากให้ ส.ว.ไปดูสื่อต่างประเทศก็ได้ เพราะเขามองว่าหากประเทศไทยได้นายกชื่อ พิธา จะเป็นนายกที่โดดเด่นที่สุดในอาเซียน หากต้องการให้ประเทศไทยก้าวพ้นหลุมอำนาจรัฐประหาร แล้วมีนายกที่โดดเด่น มีรัฐบาลที่แข็งแรง ประเทศไทยไปได้ไกลแน่
แคนดิเดตคนอื่นๆ ที่ถูกพูดถึง เช่น คุณเศรษฐา ทวีสิน / คุณอุ๊งอิ๊ง / คุณอนุทิน หรือบิ๊กป้อม ก่อนจะคิดถึงชื่อเหล่านี้ ต้องเกิดเงื่อนไขเป็น “อุบัติเหตุทางการเมือง” เพราะคนที่คาดหวังจะเห็นครรลองของประชาธิปไตยต้องผิดหวัง
แต่ในแง่คุณสมบัติอย่างคุณเศรษฐา เป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ น่าจะมาทรงเดียวกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร เป็นมือบริหารเศรษฐกิจให้ประชาชนกินดีอยู่ดี ทั้งนี้ต้องเป็นกรณีสุดท้ายจริงๆ ไม่ใช่การขึ้นมาเป็นนายกด้วยเหลี่ยมมุมการเมืองของพรรคเพื่อไทย แล้วต้องเป็นเหตุสุดวิสัยจนไม่สามารถผลักดันคุณพิธา ได้อีกแล้วเพื่อให้ประชาชนไม่มีข้อสงสัย
ทักษิณ กลับบ้านรอบที่ 20 ล้มเลิกไม่กลับแล้ว
เงื่อนไขคุณทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน คงต้องล้มเลิกลงอีกครั้งแล้ว เพราะหากสังเกตดูในปัจจุบันไม่มีการพูดถึงแล้ว รวมถึงการจัดรายการ แคร์ทอล์ค ที่ไม่ได้จัดมา 2 ครั้ง จึงมองว่าเขาคงยอมถอย เหมือนเป็นการพูดครั้งที่ 20 ว่าจะกลับ แต่ไม่กลับอีกแล้ว สิ่งที่คุณทักษิณ ออกมาพูดว่าจะกลับบ้าน วิเคราะห์ได้ไม่ยากว่า ตัวคุณทักษิณเองเชื่อว่าการพูดนั้นจะปลุกพลังให้เอฟซีเพื่อไทย คนเสื้อแดง กลับมาเป็นแลนด์สไลด์เกิน 250 เสียงได้
การประกาศว่า “กลับบ้าน” คราวนั้น ผลที่ออกมาสวนทางกับสิ่งที่ตั้งใจ เพราะต้องเข้าใจว่าแฟนคลับบางส่วนของเพื่อไทยชื่นชอบตัวพรรค แต่ไม่ได้ชื่นชอบตัวคุณทักษิณ ทีนี้ก็ส่งผลชัดเจนทำให้บางส่วนย้ายไปเลือกก้าวไกลแฟนคลับที่ชื่นชอบคุณทักษิณเองเขาก็เลือกอยู่แล้ว อีกทางหนึ่งดันไปปลุกผีให้ฝั่งอนุรักษ์นิยมมีคะแนนเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
ดังนั้น รอบนี้คุณทักษิณต้องการ คามิคาเซ่ ระเบิดตัวเองให้ได้ผลสูงที่สุด แต่มันดันไร้ผล และนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายกับมนต์ขลังของชื่อคุณทักษิณ ชินวัตร ที่จะส่งคะแนนให้พรรคเพื่อไทย ได้มากสุดเพียง 141 คะแนน ครั้งหน้าคงไร้มนต์ขลังไปแล้ว