หลังจากบริษัท ไชน่า เอเวอร์แกรนด์ (China Evergrande) ซึ่งประสบปัญหาหนี้เงินกู้สูงถึง 2.437 ล้านล้านหยวนเมื่อสิ้นปี 2565 หรือคิดเป็น 2% ของจีดีพีประเทศ ประกาศล้มละลาย ยื่นขอความคุ้มครองจากเจ้าหนี้ต่อศาลล้มละลายแมนฮัตตันของสหรัฐฯ วงการอสังหาริมทรัพย์ในจีนก็สั่นสะเทือน
ตามมาด้วยบริษัทคันทรี่ การ์เดน ที่ผิดนัดชำระหนี้ โดยพวกเขาแจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ว่าอาจจะมีปัญหาในการชำระหุ้นกู้ซึ่งจะครบกำหนดไถ่ถอนในเดือน ก.พ. 2026 และ ส.ค. 2030 ซึ่งออกมาในแนวทางเดียวกับที่เอเวอร์แกรนด์เคยประสบมาเหมือนกัน
เอเวอร์แกรนด์ อสังหาฯ ยักษ์ของจีน "ประกาศล้มละลาย"
ห่วงทุนจีนทะลักไทย สินค้าจีนเต็มตลาด ตั้งแต่มินิมาร์ทถึงร้านหมาล่า
จีนจับกุมเจ้าหน้าที่รัฐในกระทรวงหนึ่ง อ้างเป็นสายให้กับ CIA
สำนักข่าวรอยเตอร์พาไปดูที่ไซต์งานโครงการก่อสร้างที่อยู่อาศัยของคันทรี่การ์เด้น ในนครเทียนจิน เมืองใหญ่ทางตอนเหนือของประเทศจีน พบว่า งานก่อสร้างในบางจุดหยุดทำไปแล้ว หรือบางจุดก็ทำอยู่แต่ทำอย่างช้าๆ เพราะมีเพียงคนงานไม่กี่คนเท่านั้นที่ยังทำงานอยู่ หลังจุดนี้ ประสบปัญหาคนงานไม่ได้รับค่าจ้างคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ด้านคนงานเล่าว่า บริษัทไม่ได้จ่ายค่าจ้างมาหลายเดือนแล้ว ตั้งแต่ตรุษจีน หรือตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมา "โครงการนี้ของคันทรี่การ์เด้นหยุดไปแล้วครับ หยุดหลังจากที่พวกเขาสร้างโครงสร้าง เราได้รับการแจ้งจากฝ่ายจัดการ พวกเขายังไม่ได้จ่ายเงินเราเลย ตั้งแต่ตรุษจีน"
เขาเสริมว่า "เราเป็นกังวลมากครับ เพราะว่าตั้งแต่เรามาถึงที่นี่ตอนเดือนพฤษภาคม จนถึงตอนนี้ พวกเขาจ่ายเราแค่ค่าใช้จ่ายคนละ 4,500 หยวน (ประมาณ 21,843 บาท) เรายังไม่ได้รับค่าจ้างแม้แต่หยวนเดียวเลย จนถึงตอนนี้ ไม่มีฝ่ายใดที่เกี่ยวข้องเข้ามารับผิดชอบ หลังจากที่มีคำร้องเรียนไปมากมาย ก็ยังไม่มีการรับผิดชอบใด ๆ เกิดขึ้น"
จากการคาดการณ์ของธนาคารเพื่อการลงุทนสัญชาติญี่ปุ่น โนมูระ ชี้ว่า บริษัทคันทรี่การ์เด้น น่าจะมีงานก่อสร้างบ้านที่ยังค้างคาอยู่ถึงเกือบ 1 ล้านหลัง แต่ก็ยังไม่มีการออกมายอมรับจากคันทรี่การ์เด้นว่า ตอนนี้มีโครงการก่อสร้างตรงไหนที่ระงับไปแล้วบ้าง
เศรษฐกิจจีนเริ่มชะลอตัวลงในช่วงการล็อกดาวน์ และหลังการระบาดของโควิด 19 โดยยอดขายอสังหาริมทรัพย์เริ่มลดลง ในขณะที่ราคาบ้านก็ต่ำลงเช่นกัน
ด้านยอดขายของคันทรี่ การ์เด้นในปี 2020 อยู่ที่ 570,000 ล้านหยวน หรือราว 2.7 ล้านล้านบาท ก่อนจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 357,500 ล้านหยวน หรือประมาณ 1.7 ล้านล้านบาท ในปี 2022 โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา คันทรี่การ์เด้นประกาศลดโครงการต่างๆของตนเองลงในเมืองขนาดเล็ก
ที่ปรึกษาด้านการลงทุนของสำนักงานอสังหารริมทรัพย์เซนทาไลน์ สาขาเทียนจิน เปิดเผยว่า นักพัฒนาส่วนใหญ่ในจีน ตั้งเป้าหมายการผลิตโดยอ้างอิงจากยอดขาย และเมื่อยอดขายลดลง การพัฒนาและการก่อสร้างทั้งหมดก็จะเริ่มซบเซาตามมา
ส่วนตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนนั้น รีบาวด์ คือดีดตัวกลับขึ้นมาเล็กน้อยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 แต่ตัวเลขการซื้อขายก็เริ่มลดลงหลังจากนั้น
นอกจากนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา บริษัทจงหรงอินเตอร์เนชั่นเนลทรัสต์ ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนชั้นนำของจีน ยังผิดนัดจ่ายเงินลงทุนแก่ผู้ลงทุนกว่าสามหมื่นราย กรณีดังกล่าวยิ่งสะท้อนให้เห็นว่า มีวิกฤตเกิดขึ้นตั้งแต่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึงภาคธนาคาร
ด้านมูดดี้ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจเปิดเผยว่า ปัญหาที่เกิดจากนักลงทุน บริษัทต่าง ๆ ในจีน ส่งผลทำให้เมื่อปลายปีที่แล้ว หนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL ของบรรดาธนาคารในประเทศจีน เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.4 เปอร์เซ็นต์ จากอัตรา 1.9 เปอร์เซ็นต์ เมือปี 2022
ทั้งนี้ NPL เป็นตัวเลขที่บ่งชี้ถึงความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ธนาคาร หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้พร้อมกันเป็นจำนวนมาก อาจสะท้อนได้ว่าเศรษฐกิจอาจมีปัญหา
โดยสิ่งที่ต้องจับตามองหลังจากนี้คือ รัฐบาลจีน ว่าพวกเขาจะจัดการวิกฤตหนี้เหล่านั้นเช่นไร เพราะนักเศรษฐศาสตร์มองว่า รัฐบาลจีนอาจจะต้องทำอะไรมากกว่าการตัดลดดอกเบี้ย
แกรี อึ๊ง นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส บริษัท NATIXIS กล่าวว่า "ดังนั้นผมคิดว่าจำเป็นต้องทำอะไรมากกว่านี้นอกเหนือจากการตัดลดดอกเบี้ย เพราะว่ากลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์นั้นไม่ได้ตอบสนองกับอัตราการดอกเบี้ยมากเท่าไหร่ เพราะว่า มีบริษัทมากมาย มีบ้านมากมาย จริงๆพวกเขาต้องคิดหาวิธีการลดภาระหนี้สินในระบบ หรือลดขนาดงบประมาณ ซึ่งก็จะทำให้เกิดคำถามว่า จีนกำลังเข้าสู่หรือจะเข้าสู่การถดถอยของเศรษฐกิจในรูปแบบ balance sheet แบบที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่น ดังนั้นผมคิดว่า นี่คือคำถามที่เป็นพื้นฐานมากๆที่จีนกำลังเผชิญอยู่ และผมคิดว่า การกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคเป็นงานที่สำคัญมาก ๆ"
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดไม่คิดว่า วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในจีนเวลานี้ จะร้ายแรงเหมือนวิกฤตเลอห์แมนบาเธอร์ส (Lehman Brothers) วาณิชธนกิจระดับโลกจากสหรัฐที่เป็นชนวนให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกในปี 2008